สารบัญ
การแต่งคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนา
ใน สมัยที่ยังไม่รวมเป็นประเทศไทยนั้น ดินแดนแหลมทองมีหลายอาณาจักร เช่น ล้านนา ล้านช้าง ศรีวิชัย แต่อาณาจักรที่มีผลงานทางด้านพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากจนกล่าวได้ว่าเป็นยุค ทองแห่งพระพุทธศาสนา คือ อาณาจักรล้านนา มีผู้วิจัยไว้ว่า “ยุคทองแห่งพระพุทธศาสนาในล้านนาตกอยู่ในระหว่าง 3 รัชกาล คือ พระญาติโลกราช พระยอดเชียงรายและพระเมืองแก้ว ดังที่ได้กล่าวมาแล้วซึ่งเริมตั้งแต่ปี พ.ศ. 1985 - 2068 รวมเป็นเวลา 84 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่มีการศึกษาพระธรรมวินัยและรจนาคัมภีร์ภาษาบาลีเป็นจำนวนมาก พอพ้นจากสามรัชกาลนี้ไปแล้วก็ไม่มีผลงานภาษาบาลีที่ดีเด่นอีก และหลังจากการทำสังคายนาที่วัดมหาโพธารามมาแล้วเกียรติคุณแห่งพระพุทธศาสนา ในล้านนาไทยได้แผ่กระจายไปถึงประเทศใกล้เคียง และในปี พ.ศ. 2066 กษัตริย์แห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต (ล้านช้าง) ทรงส่งราชทูตมายังราชสำนักเชียงใหม่ เพื่อขอคณะสงฆ์และพระไตรปิฎกไปสืบสานศาสนาในอาณาจักรล้านช้าง พระเจ้านครเชียงใหม่จึงให้พระเทพมงคลกับภิกษุพาคณะสงฆ์นำพระไตรปิฎกบาลี 60 คัมภีร์ ไปยังกรุงศรีสัตนาคนหุตในปีเดียวกันนั้น
ใน รัชการพระเมืองแก้ว ได้มีพระเถระจำนวนหลายท่านที่เป็นนักปราชญ์และเชี่ยวชาญในภาษาบาลี จนสามารถแต่งคัมภีร์ต่าง ๆ เป็นภาษาบาลี สมควรจะกล่าวนามไว้ ณ ที่นั้น คือ พระโพธิรังสี พระธรรมเสนาบดี พระญาณกิตติ พระสัทธัมมกิตติมหาผุสสเทวะ พระญาณวิลาส พระสิริมังคลาจารย์ และพระรัตนปัญญาเถระ เป็นต้น โดยแต่ละท่านได้แต่งวรรณกรรมบาลีไว้มาก และสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน เช่น พระโพธิรังสีเถระชาวเมืองใหม่แต่ง จามเทีวงศ์ และสิหิงคนิทาน หรือตำนานพระพุทธสิหิงค์ พระธรรมเสนาบดีเถระแต่ง คัมภีร์เกี่ยวกับไวยากรณ์ภาษาบาลีชื่อว่า สัททัตถเภทจินตา ปทักกมโยชนา พระญาณกิตติชาวเชียงใหม่รจนาคัมภีร์เป็นภาษาบาลีไว้ถึง 12 เรื่อง โดยเฉพาะพระสิริมังคลาจารย์ชาวเชียงใหม่ เป็นพระที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เพราะผลงานคือ มังคลัตถทีปนี งานนิพนธ์ของท่านมีอยู่ 4 เรื่องซึ่งมีขนาดยาวทั้งสิ้นคือ เวสสันดรทีปนี จักกวาลทีปนี สังขยาปกาสกฎีกา และมังคลัตถทีปนี ส่วนพระรัตนปัญญาเถระ ซึ่งนัยว่าท่านเป็นชาวเชียงราย หรือไม่ก็ลำปาง มีผลงานอยู่ 3 เรื่อง คือชินกาลมาลี วชิรสารัตถสังคหะ และ มาติกัตถสรุปธัมมสังคิณี เป็นต้น
นอก จากพระคัมภีร์ที่กล่าวมาแล้วนี้ ยังมีงานนิพนธ์ภาษาบาลีอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง แต่มีหลักฐานทำให้เชื่อได้ว่าเป็นผลงานพระล้านนาแต่งขึ้นในยุคเดียวกันนี้ เช่น ปัญญาสชาดก หรือชาดก 50 ชาติ อันเป็นบ่อเกิดแห่งวรรณคดีสำคัญของไทยอีกหลายเรื่อง เช่น สมุทรโฆษคำฉันท์ สังข์ทอง พระสุธนมโนห์รา นอกจากนั้นก็เป็นบทสวดมนต์ คือ อุปปาตสันติ เป็นฉันท์ภาษาบาลี ซึ่งนิยมใช้สวดในการทำบุญสะเดาะเคราะห์และสืบชะตาเมือง งานนิพนธ์เป็นภาษาบาลีที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ล้วนแต่แต่งขึ้นหลังรัชสมัยของพระญาติโลกราชทั้งสิ้น และมากที่สุดในรัชการของพระเมืองแก้ว ต่อแต่นั้นมางานนิพนธ์ภาษาบาลีที่แสดงความเป็นปราชญ์ของพระชาวล้านนาก็ เสื่อมถอยไปเรื่อย ๆ พร้อมกับการสิ้นสุดลงแห่งยุคทองของล้านนา โดยเฉพาะหลังจากเสียเอกราชแก่พม่าใน พ.ศ. 2101 อาณาจักรล้านนาก็ถูกพม่ายึดครองอยู่เป็นเวลานานกว่า 216 ปี แต่พม่าก็มิได้รุกรานพระพุทธศาสนา เพราะนับถือศาสนาเดียวกัน ทั้งนี้ในภายหลังได้สำรวจ พบว่า มีชาดกนอกนิบาตที่แต่งในล้านนาอีกประมาณ 250 เรื่อง (ลิขิต ลิขิตานนท์, ยุคทองแห่งวรรณกรรมพระพุทธศาสนาในล้านนาไทย : ล้านนาไทย, อนุสรณ์พระราชพิธีเปิดพระบรมราชานุสรณ์สามกษัตริย์, เชียงใหม่ : ทิพย์เนตรการพิมพ์, 2523, หน้า 103)
ยุคทองแห่งพระพุทธศาสนาในล้านาไทยมีเผยแพร่โดยละเอียดที่เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ (www.lanna.mju.ac.th/lannareligion_detail.php?recordID=5)ใน ช่วงนี้มีงานวรรณกรรมที่แต่งเป็นภาษาบาลีโดยใช้ตัวอักษรล้านนาเป็นจำนวนมาก วรรณกรรมเหล่านี้บางเล่มได้รับการปริวรรตเป็นอักษรไทย บางเล่มที่บันทึกบนใบลานยังพอสืบค้นได้บ้าง หรือบางเล่มอาจสูญหายไปแล้ว อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าในยุคที่พระพุทธศาสนารุ่งเรือง วรรณกรรมพระพุทธศาสนาก็พลอยรุ่งเรืองไปด้วย
การแต่งคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย - อยุธยา
ภาษา บาลี ซึ่งเป็นภาษาที่จารึกคำสอนของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทนั้น แม้ตามหลักฐานจะปรากฏว่าเข้ามามีอิทธิพลในแถบเอเชียอาคเนย์นี้ตั้งแต่สมัย ที่คนไทยยังไม่ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนปัจจุบัน ก็มีหลักฐานตั้งแต่สมัยสุโขทัยว่า พ่อขุนรามคำแหงเคยส่งสมณทูตไปลังกา (ศรีลังกา) และในรัชกาลที่ 5 ของสมัยสุโขทัย คือ สมัยพระมหาธรรมราชาลิไทใน พ.ศ. 1904 มีการส่งสมณทูตไปลังกาเช่นกัน ลังกาใช้ภาษาบาลีในการจารึกคำสอนทางพุทธศาสนา มีการแต่งตำราไวยากรณ์บาลีกันมากและศึกษากันอย่างแพร่หลาย ไทยจึงได้รับอิทธิพลภาษาบาลีจากลังกา ใน พ.ศ.1905 พระยาลิไททรงผนวช ก็ได้ศึกษาภาษาบาลีอย่างแตกฉาน ขณะเดียวกันพระอีกสายหนึ่งจากลังกาเข้ามาในกรุงสุโขทัย ไทยจึงรับภาษาเข้ามาอีกระลอกหนึ่ง และใช้ภาษาบาลีจารึกคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ เช่นเดียวกับที่ลังกาใช้ จะเห็นว่าทั้งภาษาบาลีเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น
ต่อ จากสมัยสุโขทัย ความนิยมใช้คำภาษาบาลีในภาษาไทยยังคงอยู่ เพราะเราพบศัพท์ภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทยมากขึ้น ๆ ดังหลักฐานจากวรรณคดีสมัยหลัง ๆ และเราจะสังเกตเห็นว่า ในวรรณคดีสมัยสุโขทัยมีคำยืมจากภาษาบาลีนี้น้อยกว่าคำภาษาไทยแท้ แต่ในวรรณคดีสมัยอยุธยามีคำยืมเหล่านี้เป็นจำนวนมากจนเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยอยุธยาตอนต้น เช่น ในเรื่องยวนพ่ายและทวาทศมาส แล้วค่อยลดลงบ้างในสมัยอยุธยาตอนกลางและตอนปลาย ในสมัยหลังนี้จะมีคำยืมจากภาษาบาลีสันสกฤตปรากฏมากเฉพาะในวรรณคดีที่เกี่ยว กับพุทธศาสนา
ส่วน วรรณคดีบางเรื่องที่สะท้อนชีวิตคฤหัสถ์หรือสามัญชนและมีเนื้อหาเกี่ยวกับ ธรรมชาติหรือความรัก หรือที่เขียนด้วยคำประพันธ์ไทยที่ไม่ได้ดัดแปลงมาจากคำประพันธ์อินเดีย เช่น กลอนจะมีคำบาลีสันสกฤตน้อยลงกว่าสมัยอยุธยาตอนต้น
การแต่งคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาในสมัยรัตนโกสินทร์
ใน สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ การติดต่อกับชาติตะวันตกซึ่งเริ่มมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้วนั้นเจริญ รุ่งเรืองยิ่งขึ้น การยืมคำมาจากภาษาตะวันตกก็มีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษ แต่คำยืมจากภาษาบาลีสันสกฤตไม่ลดน้อยลงกลับมีบทบาทมากขึ้น อาจเรียกว่ามากกว่าเดิมก็ได้ เพราะแต่เดิมในสมัยโบราณผู้ที่ใช้คำยืมเหล่านี้มีเฉพาะผู้รู้หรือนักปราชญ์ ทางภาษา เช่น พระมหากษัตริย์ ราชบัณฑิต กวี พระสงฆ์ โหรหลวง เป็นต้น แต่ปัจจุบันนี้แพร่หลายออกในหมู่ชนอาชีพต่าง ๆ ทั่วประเทศ แม้แต่กรรมกรและชาวไร่ชาวนา เพราะการติดต่อสื่อสารมีประสิทธิภาพมาก นอกจากนี้ ยังมีการยืม และการสร้างคำใหม่ ๆ จากภาษาบาลีสันสกฤตเพิ่มขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อใดที่มีสิ่งประดิษฐ์ หรือความคิดใหม่ ๆ จากต่างประเทศเข้ามา คนไทยก็จะหาคำมาเรียกสิ่งประดิษฐ์หรือความคิดนั้น เรียกว่าการบัญญัติศัพท์ การบัญญัติศัพท์ส่วนใหญ่มักพิจารณาจากคำไทยแท้หรือคำบาลีสันสกฤต และเลือกใช้คำที่เหมาะสมหรือประกอบคำขึ้นใหม่ คำบาลีสันสกฤตที่ใช้นั้นอาจ อยู่เดี่ยว ๆ หรือเกิดจากการประสมกันระหว่างคำบาลีด้วยกัน หรือคำสันสกฤตด้วยกันหรือคำบาลีกันคำสันสกฤต แม้แต่คำบาลีสันสกฤตกับคำไทย คำเขมร ฯลฯ มีให้เห็นอยู่ทั่วไป
การชำระและจารึกพระไตรปิฎกในสมัยรัตนโกสินทร์
ใน สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ได้มีการชำระและการจารึกพระไตรปิฎก จากหนังสือพงศวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา (อ้างจากสุชีพ ปุญญานุภาพ, พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน, พิมพ์ครั้งที่ 16,กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลัย, 2539, หน้า 30) ตอนหนึ่งความว่า “ในปีวอกสัมฤทธิศกนั้น พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าหลวง ทรงพระราชรำพึงถึงพระไตรปิฎกธรรมอันเป็นมูลราก แห่งพระปริยัติศาสนา ทรงพระราชศรัทธาพระราชทานพระราชทรัพย์เป็นอันมากให้เป็นค่าจ้างช่างจารจารึก พระไตรปิฎกลงลาน แต่บรรดามีฉบับในที่ใด ๆ ที่เป็นอักษรลาว อักษรรามัญก็ให้ชำระแปลออกมาเป็นอักษรขอม สร้างขึ้นใส่ตู้ไว้ในหอพระมณเฑียรธรรม และสร้างพระไตรปิฎกถวายพระสงฆ์ให้เล่าเรียนทุก ๆ พระอารามหลวงตามความปรารถนา จึงเจ้าหมื่นไวยวรนาถกราบทูลว่าพระไตรปิฎก ซึ่งทรงพระราชศรัทธาสร้างขึ้นไว้ทุกวันนี้ อักษรบทพยัญชนะตกวิปลาสอยู่แต่ฉบับเดิมมา หาผู้จะทำนุบำรุงตกแต้มดัดแปลงให้ถูกต้องบริบูรณ์ขึ้นมิได้ ครั้นได้ทรงสดับก็ทรงพระปรารภไปว่า พระบาลีอรรถกถาฎีกาพระไตรปิฎกทุกวันนี้ เมื่อและผิดเพี้ยนวิปลาสอยู่เป็นอันมาก ฉะนี้จะเป็นเค้ามูลพระปฏิปัตติศาสนา ปฏิเวธศาสนานั้นมิได้ อนึ่งท่านผู้รักษาพระไตรปิฎกมีอยู่ทุกวันนี้ก็น้อยนัก ถ้าสิ้นท่านเหล่านี้แล้ว เห็นว่าพระปริยัติศาสนาและปฏิเวธสาสนาจะเสื่อมศูนย์เป็นอันเร็วนัก สัตว์โลกทั้งปวงจะหาที่พึ่งบ่มิได้ในอนาคตกาลเบื้องหน้า ควรจะทำนุบำรุงพระบวรพุทธศาสนาไว้ให้ถาวรวัฒนาการเป็นประโยชน์ไปแก่เทพา มนุษย์ทั้งปวง จึงจะเป็นทางพระบรมโพธิญาณบารมี
ครั้นทรงพระราชดำริฉะนี้แล้วจึงให้ประชุมพระราชวงศานุวงศ์ มีสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรฯ เป็นประธาน บนพระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท ให้อาราธนาสมเด็จพระสังฆราชพระราชาคณะ ฐานานุกรมบาเรียนร้อยรูปมารับพระราชทานฉัน ครั้นเสร็จสังฆภัตตกิจแล้วสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ จึ่งทรงถวายนมัสการดำรัสเผดียงถามพระราชาคณะทั้งปวงว่า พระไตรปิฎกธรรมทุกวันนี้ยังถูกต้องบริบูรณ์อยู่หรือพิรุธผิดเพี้ยนประการใด จึ่งสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวงพร้อมกันถวายพระพรว่า พระบาลี และ อรรถกถาฎีกาพระไตรปิฎกทุกวันนี้พิรุธมากมาช้านานแล้ว หากกษัตริย์พระองค์ใดจะทำนุบำรุงเป็นศาสนูปถัมภกมิได้แต่กำลังอาตมภาพ ทั้งปวงก็คิดจะใคร่ทำนุบำรุงอยู่เห็นจะไม่สำเร็จ
กาลเมื่อสมเด็จพระสรรเพชญพระพุทธองค์ผู้ทรงพระทัศอรหาทิคุณอันประเสริฐ เมื่อพระองค์เสด็จบรรทมเหนือพระมรณมัญจาพุทธาอาสน์ เป็นอนุฏฐานไสยาสน์ ณ หว่างนางรังทั้งคู่ในสาลวโนทยานแห่งพระยามลราช ใกล้กรุงสินาราราชธานี มีพระพุทธฎิกาตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรสงฆ์ทั้งปวง พระธรรมวินัยอันใดทั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ อันพระตถาคตเทศนาสั่งสอนท่าน เมื่อพระตถาคตนิพพานแล้ว พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้น จะเป็นครูสั่งสอนท่านและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ต่างพระตถาคตแปดหมื่นสี่พันพระองค์ ตรัสมอบพระพุทธศาสนาไว้แก่พระปริยัติธรรมฉะนี้แล้วก็เข้าสู่พระปรินิพพาน จำเดิมแต่สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้านิพพานถวายพระเพลิงแล้วเจ็ดวันพระมหากัส สปเจ้าระลึกถึงถ้อยคำพระสุภัทรภิกษุแก่ กล่าวติเตียนพระบรมครูเป็นมูลเหตุจึงดำริการจะกระทำสังคายนาย เลือกสรรพระสงฆ์ทั้งหลายล้วนพระอรหันต์ทรงพรจตุปฏิสัมภิทญาณกับพระอานนนท์ เป็นเสกขบุคคลพระองค์หนึ่งได้พระอัรหัตต์ในราตรี รุ่งขึ้นจะทำสังคายนายพอครบห้าร้อยพระองค์ มีพระเจ้าอชาตสัตรูเป็นศาสนูปถัมภก กระทำสังคายนายพระไตรปิฎกในพระมณฑปแถบถ้ำสัตตบรรณคูหา ณ เขาเวการบรรพตใกล้ กรุงราชคฤห์มมหานคร เจ็ดเดือนจึงสำเร็จการปฐมสังคายนาย
ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง 100 ปี ภิกษุชาววัชชีคามเป็นอลัชชีสำแดงวัตถุสิบประการ กระทำผิดพระวินัยบัญญัติ และพระมหาเถรขีณาสพแปดองค์ มีพระยศเถรเป็นต้นพระเรวัตเถรเป็นปริโยสาน ชำระทศวัตถุอธิกรณ์รำงับ ยังพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์แล้วเลือกพระอรหันต์อันทรงพระปฏิสัมภิทาญาณเจ็ด ร้อยพระองค์ มีพระสัพพกามิเถรเจ้าเป็นประธานกระทำสังคายนาพระไตรปิฎกในวาลุกการามวิหาร ใกล้เมืองเวสาลี มีพระเจ้ากาลาโสกราชเป็นศาสนูปถัมภกแปดเดือนจึงสำเร็จทุติยสังคายนา
ครั้นพระ พุทธศาสนาล่วงมาถึง 218 ปีครั้งนั้นเหล่าเดียรถีย์เข้าปลอมบวชในพระศาสนา จึงพระโมคลีบุตรดิสเถรเจ้ายังพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชให้เรียนรู้ในพุทธสมัย แล้วชำระสึกเดียรถีย์เสียถึงหกหมื่น ยังพระศาสนาให้บริสุทธิ์แล้วพระโมคลีบุตรดิสเถร จึงเลือกพระอรหันต์อันทรง พระปฏิสัมภิทาญาณพันพระองค์ กระทำสังคายนายพระไตรปิฎกในอโสการามวิหารใกล้กรุง ปาตลีบุตรมหานคร มีพระเจ้าศรีธรรมาสากราชเป็นศาสนูปถัมภก เก้าเดือนจึงสำเร็จการตติยสังคายนาย
ครั้นพระ พุทธศาสนาล่วงมาถึง 238 ปี จึงพระมหินทเถรเจ้าออกไปสู่ลังกาทวีป บวชกุลบุตรให้เล่าเรียนพระปริยัติธรรม คือ หยั่งรากพระพุทธศาสนาลงในเกาะลังกาแล้ว พระขีณาสพทั้งสามสิบแปดพระองค์ มีพระมหินทเถร และพระอริฏฐเถรเป็นประธาน กับพระสงฆ์ซึ่งทรงพระปริยัติธรรมร้อยรูป กระทำสังคายนายพระไตรปิฎกในมณฑปถูปารามวิหารใกล้กรุงอนุราธบุรี มีพระเจ้าเทวานัมปิยดิสเป็นศาสนูปถัมภกสิบเดือน จึงสำเร็จการจตุตถสังคายนาย
ครั้นพระ พุทธศาสนาล่วงมาถึง 433 ปี ครั้นนั้นพระอรหันต์ทั้งปวงในลังกาทวีป พิจารณาเห็นว่า พระพพุทธศาสนาจะเสื่อมลง เหตุพระสงฆ์ซึ่งทรงพระไตรปิฎกขึ้นปากเจนใจนั้น เบาบางลงกว่าแต่ก่อน จึงเลือกพระอรหันต์อันทรงพระปฏิสัมภิทาญาณและพระสงฆ์ปุถุชนผู้ทรงพระปริยัติ มากว่าพัน ประชุมกันในอภัยคิรีวิหารใกล้เมืองอนุราธบุรี มีพระเจ้าวัฏฏคามินีอภัยเป็นศาสนูปถัมภกกระทำพระมณฑปถวายให้กระทำสังคายนาย พระไตรปิฎกแล้วจารึกลงลานทั้งพระบาลีและอรรถกถาเป็นสิงหฬภาษาปีหนึ่งจึง สำเร็จการปัญจมสังคายนาย
ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง 956 ปีจึงพระพุทธโฆษจารย์เถรเจ้าออกไปแต่ชมพูทวีปแปลพระไตรปิฎกอันเป็นสิงหฬภาษา จารึกลงลานใหม่แปลงเป็นมคธภาษากระทำในโลหปราสาท ณ เมืองอนุราธบุรี มีพระเจ้ามหานามเป็นศาสนูปถัมภกปีหนึ่ง จึงสำเร็จนับเนื่องในฉัฏฐมสังคายนาย
พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ทั้งสองพระองค์ เมื่อทรงสดับพระสงฆ์ราชาคณะถวายพระพรโดยพิสดารดังนั้น จึงดำรัสว่าครั้งนี้ขออาราธนา พระผู้เป็นเจ้าทั้งปวงจงมีอุตสาหะในฝ่ายพระพุทธจักรให้พระไตรปิฎกบริบูรณ์ ข้นจงได้ ฝ่ายอาณาจักรที่จะเป็นศาสนูปถัมภกนั้นเป็นพนักงานโยม โยมจะสู้เสียสละชีวิตบูชาพรรัตนตรัย สุดแต่จะให้พระปริยัติบริบูรณ์เป็นมูลที่ตั้งพระพุทธศาสนาให้จงได้ ได้มีพระราชกำหนดให้นิมนต์พระสงฆ์ ประชุมพร้อมกัน ณ พระอุโบสถวัดพระศรีสรรเพชรดาราม ในวันกติกบุรณมีเพ็ญเดือนสิบสองในปีวอกสัมฤทธิศก พระพุทธศักราชล่วงแล้ว 2331 พระวัสสา
การชำระคัมภีร์และพระไตรปิฎกในสมัย รัชกาลที่ 1 ได้มีการจารึกและพิมพ์พระไตรปิฎกลงบนใบลาน เหตุที่ยกมายืดยาวก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงกระบวนการ วิธีการในการชำระพระไตรปิฎก การจารึกพระไตรปิฎกและการเป็นศาสนูปถัมภกของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา โลก
การชำระและจารึกพระไตรปิฎกในสมัยรัชกาล ที่ 5 ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการชำระและการ พิมพ์พระไตรปิฎกอีกครั้ง ดังหลักฐานจากหนังสือกฎหมายรัชกาลที่ 5 หน้า 838 ซึ่งหลวงรัตนาญาณปติ (เปล่ง) อธิบดีกรมอัยการเป็นผู้รวบรวบรวมไว้มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริห์จะทรงนุบำรุง พระพุทธศาสนาให้เจริญวัฒนายิ่งขึ้นไปประการใด ท่านทั้งหลายก็คงแลเห็นในการที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสิ่งที่เป็นถาวรวัตถุให้ เป็นภาชนะรับรองพระพุทธศาสนาประการหนึ่ง ทั้งอเนกทานบริจาคของประณีตต่าง ๆ ฤาการยกย่องโดยสมณศักดิ์ ซึ่งเป็นเสบียงกำลังแก่พระภิกษุสงฆ์ทั้งปวง ผู้ทรงวิไนยบัญญัติของพระพุทธเจ้าให้ดำรงอยู่ แลเป็นผู้แนะนำชาวสยามให้ประพฤติการละบาปบำเพ็ญบุญนั้นก็มีเป็นอันมากในปี หนึ่งๆ ก็อีกประการหนึ่งการที่ทรงบริจาคทั้งสองอย่างนั้นปีหนึ่งก็สิ้นพระราชทรัพย์ เป็นอันมาก เพราะเหตุด้วยทรงเลื่อมใสในคุณพระรัตนไตรยนั้น บัดนี้ทรงพระราชดำริห์ถึงพระไตรยปิฎก ซึ่งเป็นพุทธภาสิตเป็นที่ร่ำเรียนศึกษาของผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนานั้นด้วย เหตุอย่างไร คงปรากฏในกระแสพระราชดำรัสแก่พระเถรานุเถร ซึ่งจะมีต่อไปในหน้ากระดาษนี้แล้ว เพราะฉะนั้นจึ่งจะโปรดเกล้าฯ ให้ตีพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นอักษรสยาม เย็บเล่มสมุดให้มากแพร่หลายสืบสานายุกาลต่อไป จึ่งโปรดให้ผเดียงพระสงฆ์เถรานุเถระที่ชำนาญในพระไตรยปิฎกอันมีสมณศักดิ์ 110 พระองค์ เป็นผู้ตรวจแก้ฉบับพระไตรปิฎกที่ตีพิมพ์ โปรดให้พระบรมวงษานุวงษเข้าราชการฝ่ายคฤหัสถ์เป็นกรรมสัมปาทิกสภา จัดการพิมพ์พระไตรปิฎกให้สำเร็จทันในสมัยเมื่อเสด็จดำรงสิริราชสมบัติครบ 25 ปี จะได้มีการมหกรรมฉลองพระไตรปิฎกนี้ในมงคลสมัยนั้น” (สุชีพ ปุญญานุภาพ, พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน, หน้า 37.)
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ยังบันทึกลงบนใบลาน คัมภีร์พระไตรปิฎกจึงเริ่มจะเป็นรูปร่างและมีครบทุกคัมภีร์
การชำระและจารึกพระไตรปิฎกในสมัยรัชกาล ที่ 7 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7ได้มีการชำระและการพิมพ์พระไตรปิฎกอีกครั้ง ดังที่ปรากฏในรายงานการสร้างพระไตรปิฎก (ฉบับสยามรัฐ) ของพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ จากราชกิจจานุเษกษา เล่ม 44 หน้า 3927 ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2470 นั้น (สุชีพ ปุญญานุภาพ, พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน, หน้า 42)มีรายงานการสร้างพระไตรปิฎกตอนหนึ่งว่า “ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชวโรกาสกราบบังคมทูลรายงานการสร้างพระ ไตรปิฎก เป็นอนุสาวรีย์เชิดชูพระเกียรติยศพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราวุตธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ข้าพเจ้าจัดสนองพระเดชพระคุณนั้น บัดนี้ต้นฉบับพระไตรปิฎกสำหรับที่จะพิมพ์นั้น ใช้ฉบับพิมพ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างเมื่อพระพุทธศักราช 2436 นั้นเป็นพื้น มีการแก้ไข คือ เปลี่ยนใช้ พินทุ แทนวัญฌการและยามักการจัดวางระยะวรรคตอนหนังสือนั้นเสียใหม่ และใช้เครื่องหมายประกอบให้เป็นอย่างเดียว ตามแบบที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ประทานไว้ในการพิมพ์อรรถกถาพระไตรปิฎก ส่วนคัมภีร์ที่ขาดไปในฉบับพิมพ์ พ.ศ. 2436 ใช้ฉบับลานของหลวงเป็นต้นฉบับ และชำระโดยวิธีเดียวกัน แก้คำผิดแต่จำเพาะที่ปรากฏว่าคัดลอกผิด กำหนดการให้ได้พิมพ์แล้วเสร็จในพระพุทธศักราช 2470 อนึ่ง เพราะเหตุที่ได้ทรงเป็นประมุขบริจจาคพระราชทรัพย์ในการสร้างพระไตรปิฎกฉบับ นี้ และโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการทวยราษฎรชาวสยามทั้งฝ่ายบรรพชิตและฆราวาสบริจาคทรัพย์โดยเสด็จใน พระราชกุศลนั้น ที่ประชุมชำระพระไตรปิฎก จึงขนานนามพระไตรปิฎกนี้ว่า “สฺยามรฏฐสฺสเตปิฏกํ” “พระไตรปิฎกสยามรัฐ”
การพิมพ์พระไตรปิฎกภาษาบาลีที่นิยมเรียก ว่าฉบับสยามรัฐ และเป็นฉบับที่ใช้อ้างอิงในปัจจุบันมากที่สุดฉบับหนึ่ง แม้ในรัชกาลต่อมาจะมีการชำระและพิมพ์พระไตรปิฎกขึ้นอีกหลายฉบับทั้งฉบับภาษา ไทย ฉบับอรรถกถา แต่ก็ยังอาศัยรูปแบบของพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐเป็นหลัก สรุปว่าการชำระการจารึกและการพิมพ์พระไตรปิฎกในประเทศไทยนั้นมี 4 ครั้งคือ (สุชีพ ปุญญานุภาพ, พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน, หน้า 17.)
1. ชำระและจารลงในใบลาน กระทำที่เชียงใหม่ สมัยพระเจ้าติโลกราชประมาณ พ.ศ. 2020
2. ชำระและจารลงในใบลาน กระทำที่กรุงเทพ สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรัชกาลที่ 1 พ.ศ. 2331
3. ชำระและพิมพ์เป็นเล่ม กระทำที่กรุงเทพ สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2431-2436
4. ชำระและพิมพ์เป็นเล่ม กระทำที่กรุงเทพ สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พ.ศ. 2468-2473
ส่วนในสมัยรัชกาลที่ 9 ได้มีการชำระ และพิมพ์พระไตรปิฎกอีกหลายครั้ง นอกจากนั้นยังมีการปริวรรตคัมภีร์อรรถกถาจากภาษาต่างๆเป็นภาษาไทยและจัด พิมพ์เผยแพร่อีกจำนวนมากดำเนินการโดยมูลนิธิภูมิพโลภิกขุ จนกระทั่งมีการบันทึกพระไตรปิฎกลงแผ่นซีดี และนำเผยแผ่ทางอินเทอร์เน็ต
4. ยุคการสื่อสารโดยสื่ออิเล็คทรอนิคส์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางวิทยุ โทรทัศน์
เมื่อมีสถานีวิทยุโทรทัศน์เกิดขึ้นพระ สงฆ์ส่วนหนึ่งก็ได้ใช้สื่อวิทยุโทรทัศน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จึงมีพระนักจัดรายการวิทยุโทรทัศน์จำนวนมาก ปัจจุบันการดำเนินชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรมอาจจะพยายามแสวงหาทางอยู่ร่วม กันอย่างสันติโดยที่ต่างฝ่ายก็ต้องพยายามปรับตัวไปตามทางของตัวเอง ศาสนาได้แสดงอกในหลากหลายรูปแบบ หลากหลายเนื้อหา เพื่อ เอาใจมิตรรักนักธรรมและบรรดาญาติธรรมทั้งหลายให้หันหน้ามาเข้าวัดบ้างรวม ทั้งได้ผสมผสานการใช้สื่อแบบใหม่ ๆ อย่างไม่เคอะเขิน เช่น พระพยอม กัลยาโณ ได้จัดรายการสนทนาธรรมคู่กับดีเจรายการวิทยุเป็นประจำเป็นต้น (ณัฐนันท์ ประกายสันติสุข, ประสิทธิผลของการสื่อสารในการเผยแผ่ธรรมะ:หลักสูตรการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญา และสันติสุข, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ภาพพิมพ์, 2542, หน้า 3.
และยังมีพระสงฆ์ไทยอีกกลุ่มหนึ่งจัด รายการทางโทรทัศน์อีกจำนวนมาก ซึ่งทั้งวิทยุโทรทัศน์ก็เป็นเครื่องมือในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้อย่าง หนึ่ง
ปัญหาและอุปสรรคในการเผยแผ่ธรรมของ สถาบันสงฆ์ไทยมีผู้ศึกษาแล้ว พบว่าปัญหาและอุปสรรคด้านพระสงฆ์และสถาบันสงฆ์ในฐานะผู้เผยแผ่ธรรมะขาดแคลน พระสงฆ์ที่มี ความสามารถในการเผยแผ่ธรรมะอย่างแท้จริง ด้านรูปแบบการสื่อสาร ปัจจุบันเน้นรูปแบบการเทศน์หรือการบรรยายภาคทฤษฎีเป็นหลัก แต่ไม่มีภาคปฏิบัติหรือจัดกิจกรรมต่อเนื่องที่เป็นรูปธรรม ทำให้การเผยแผ่ธรรมะไม่เข้าถึงจิตใจของผู้ฟังอย่างแท้จริง ด้านวิธีการ หรือกลวิธีในการเผยแผ่ ไม่มีการกำหนดหัวข้อธรรมะที่เหมาะสมกับผู้ฟัง หรือไม่มีการศึกษาหัวข้อธรรมะอย่างถ่องแท้ก่อนนำไปเผยแผ่นอกจากนี้พระสงฆ์ ไม่ได้มีการฝึกการผลิตและการใช้โสตทัศนูปกรณ์มาก่อน รวมทั้งสื่อต่าง ๆ ส่วนใหญ่มุ่งใช้แต่สื่อบุคคลเป็นหลัก ทำให้การเผยแผ่ธรรมะกระทำได้ในขอบเขตจำกัด (ปนัดดา นพพนาวัน, “การศึกษากระบวนการสื่อสารเพื่อเผยแพร่ธรรมะของสถาบันสงฆ์”, วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2533, หน้า 103) การเผยแผ่ของคณะสงฆ์ไทยจึงติดอยู่รูปแบบมากเกินไปทำให้คนรุ่นใหม่ให้ความ สนใจน้อย
ในการใช้สื่อสมัยใหม่ ในยุคข้อมูลข่าวสาร ผลต่อการเผยแผ่ และการเปลี่ยนแปลงการใช้สื่อ พระภาวนาวิริยคุณ (ทัตตะชีโว) กล่าวว่า บทบาทสื่อสมัยใหม่นั้นมีผลต่อการเผยแพร่แต่หากแยกแยะไม่ออกก็อาจจะนำไปใช้ใน ทางที่ผิด ซึ่งประการสำคัญโดยพื้นฐาน ต้องพิจารณาให้เห็นก่อน ขณะนี้ที่มีอยู่ คือ พระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์อยู่ในแผ่นซีดีรอม แจกจ่ายเผยแพร่แก่องค์กรต่าง ๆ ไปแล้ว (สมเกียรติ เรืองอนันต์เลิศ, “การเปิดรับธรรมะในยุคโลกาภิวัตน์”, วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), 2539, หน้า 39)
การเผยแผ่สาระของพระพุทธศาสนาให้กว้าง ไกลในยุคปัจจุบันนั้นอาจจะมีวิธีการได้หลายแนวทางเท่าที่คณะสงฆ์ใช้ใน ปัจจุบันเช่นการเทศนา การแสดงธรรม การบรรยายธรรมในแต่ละวัด การเผยแผ่ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ ดาวเทียมดังที่วัดธรรมกายมีรายการธรรมะที่เรียกว่าดาวเทียมดาวธรรม เป็นต้น
ในยุคปัจจุบันมีสถานีวิทยุชุมชนเกิดขึ้น มีวัดหลายวัดต่างก็ใช้การเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยใช้สื่อคือวิทยุชุมชนเป็น ช่องทางในการเผยแผ่ แต่วิทยุชุมชนมีข้อจำกัดคือไม่สามารถสื่อสารไปในที่ไกลได้ เพราะมีข้อจำกัดด้านคลื่น ดังนั้นจึงจำกัดอยู่ในกลุ่มที่ไม่มากนักโดยเฉพาะในกลุ่มที่คลื่นวิทยุชุมชน ส่งไปถึงเท่านั้น
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางวิทยุโทรทัศน์ เป็นที่นิยมมาโดยตลอด ในทางคณะสงฆ์ก็ได้มีการจัดตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์ทางพระพุทธศาสนาขึ้นเรียก ว่า “สถานีโทรทัศน์โลกพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย” ตั้งอยู่ที่วัดยานนาวา มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า The World Buddhist Television of Thailand (WBTV) เดิมมีชื่อว่า สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวี เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เฉลิมพระเกียรติ72 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เจริญพระราชศรัทธา เสด็จฯพร้อมด้วยพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายามาเป็นประธานเปิดสถานีโทรทัศน์เฉลิมพระเกียรติฯ เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2547 ณ วัดยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร
เนื่องจากสถานีโทรทัศน์ไทยทีวี เป็นระบบอะนาล๊อก (Analog) ซึ่งเป็นระบบเก่า ไม่สามารถที่จะส่งสัญญาณไปในระยะไกลได้ ฉะนั้นจึงไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการตั้งสถานีได้ แต่กระนั้น สถานีก็ได้ทำการออกอากาศในระบบเดิมต่อไป และดำเนินการไปเพียงประมาณ 3 เดือน ก็ต้องหยุดดำเนินการไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว เพราะมีเหตุขัดข้องทั้งจากระบบการออกอากาศ และการบริหารจัดการของผู้อุปถัมภ์รายเดิมของสถานี
เนื่องจากสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ เป็นสถานีโทรทัศน์ช่องประวัติศาสตร์ เพราะเป็นสถานี โทรทัศน์ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ได้เสด็จฯ มาทรงเปิดเพื่อจะให้เป็นสถานีโทรทัศน์เฉลิมพระเกียรติ ไว้ที่วัดยานนาวา พระอารามหลวงแห่งนี้โดยเฉพาะ ฉะนั้น เพื่อเป็นการเทิดทูนรักษา พระเกียรติคุณ และประวัติ ศาสตร์ ดังกล่าวเอาไว้ให้ได้ คณะกรรมการดำเนินงานจึงมีความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะรักษาและพัฒนาสถานี โทรทัศน์แห่งนี้ให้มีความสมบูรณ์ในทุกด้านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ต่อมาในปี พ.ศ.2548 ด้วยความมุ่งมั่นดังกล่าว สถานีก็ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพบกโดยความอนุเคราะห์ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา (ผู้บัญชาการทหารบก) พล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา (เสนาธิการทหารบก) และ พล.ท.กิตติทัศน์ บำเหน็จพันธุ์ (ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5) โดยสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 ได้จัดสรรเวลาออกอากาศเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ไทยทีวีโกลบอล เน๊ตเวิล์ค (THAI TV GLOBAL NETWORK, TGN) สัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง
นอกจากนี้ กองทัพบกก็ยังจัดหาเงินงบประมาณเพื่อสร้างห้องบันทึกเทปโทรทัศน์ขนาดมาตรฐาน พร้อมกับมอบถวายกล้องโทรทัศน์และอุปกรณ์ที่จำเป็นอื่น ๆ ให้แก่สถานีอีกด้วย
ด้วยการช่วยเหลือดังกล่าว ทำให้สถานีมีความพร้อมและสามารถดำเนินงานต่อเนื่องไปได้มากขึ้นโดยลำดับ ฉะนั้นในปี พ.ศ.2551 คณะกรรมการดำเนินงานซึ่งมี พระพรหมวชิรญาณ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดยานนาวา เป็นประธานได้มีโอกาสฟื้นฟูและปรับปรุงสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวี ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปเป็นการชั่วคราวแล้วนั้น ให้กลับมาดำเนินการได้อีก ทั้งนี้โดยได้ทำการเปลี่ยนแปลงจากระบบเดิม ซึ่งเป็นระบบอนาล๊อก (Analog) ให้มาเป็นระบบดิจิตอล (Digital) อันเป็นระบบออกอากาศในสถานีโทรทัศน์อันเป็นสากล ซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลาย และมีเครื่องมืออุปกรณ์ส่งสัญญาณไปได้อย่างกว้างไกลมากกว่าเดิม (ระบบเคเบิลทีวี ผ่านดาวเทียม) ซึ่งขณะนี้ก็ได้ดำเนินการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในเรื่องดังกล่าวเป็นที่เรียบ ร้อยแล้วทุกประการ
พร้อมกันนี้ เพื่อให้เป็นที่สมพระเกียรติยิ่งขึ้น คณะกรรมการดำเนินงาน ได้ขอพระบรมราชานุญาต เปลี่ยนชื่อจากสถานีโทรทัศน์ไทยทีวี เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นสถานีโทรทัศน์โลกพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
เนื่องในงานสมโภชพระอารามหลวง วัดยานนาวา 240 ปี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์พระวรชายา และพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เสด็จทอดพระเนตรห้องบันทึกเทปโทรทัศน์ และเยี่ยมชมกิจกรรมของสถานีโทรทัศน์โลกพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย วัดยานนาวา เป็นกรณีพิเศษ ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 โดยการกราบบังคมทูลเชิญของคณะกรรมการดำเนินงานของสถานีโทรทัศน์โลกพระพุทธ ศาสนาแห่งประเทศไทย วัดยานนาวา
งานเผยแผ่พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนา ประจำชาติ โดยสื่อโทรทัศน์นั้นเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มีความ สำคัญต่อการดำรงอยู่ของสถาบันชาติ ศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นอย่างยิ่ง และในขณะเดียวกัน ก็จะต้องใช้เงินงบประมาณดำเนินการเป็นจำนวนมาก งานเผยแผ่จึงจะดำเนินไปได้ด้วยดี ฉะนั้นคณะกรรมการดำเนินงานสถานีจึงได้ขอจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิสถานี โทรทัศน์โลกพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย วัดยานนาวา เพื่อระดมทุนจากผู้มีจิตศรัทธาจากทุกภาคส่วนต่าง ๆ ของประเทศ เพื่อนำดอกผลมาดำเนินการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและส่งเสริมกิจกรรมต่าง ๆ ของคณะสงฆ์ ให้ดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
วัตถุประสงค์และเป้าหมายในการดำเนินการให้สำเร็จตามภารกิจดังกล่าวแล้ว สถานีโทรทัศน์โลกพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย วัดยานนาวา ได้กำหนดวัตถุประสงค์และกำหนดเป้าหมายไว้ดังนี้
1. เป็นสถานีโทรทัศน์เพื่อเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
2. เพื่อการเผยแพร่พระพุทธศาสนาทั้งในประเทศและต่างประเทศ
3. เพื่อเผยแพร่ศาสนกิจ ผลงาน และกิจกรรมต่าง ๆ ของมหาเถรสมาคม คณะสงฆ์ วัด สถาน ศึกษา และองค์กรทางพระพุทธศาสนาต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
4. เพื่อให้การศึกษาในเรื่องศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมของชาติ และเรื่องอื่น ๆ แก่ประชาชน และเยาวชนของชาติ
5. เพื่อเป็นสื่อสร้างความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ระหว่างคนในชาติซึ่งมีเชื้อชาติและศาสนาที่แตกต่างกัน
6. เพื่อสร้างสรรค์ และปลูกจิตสำนึก ให้คนในชาติมีความรักและเกิดความหวงแหนในสถาบัน ชาติ ศาสนา และ สถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างแท้จริง
การออกอากาศ สถานีโทรทัศน์โทรทัศน์โลกพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย วัดยานนาวา เผยแพร่โดยดาวเทียม NSS 6 KU ความถี่ 11635 MHz SYMBOL RATE 27500 KSPS แนวการรับ H สามารถรับชมได้ทั่วประเทศไทย และประเทศในแถบเอเชียอาคเนย์ เช่น ลาว กัมพูชา พม่า เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง ไต้หวัน และตอนใต้ของประเทศจีน <www.watyan.tv/resume>
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากอดีต และปัจจุบันได้รับการพัฒนาวิธีการมาโดยตลอด จากยุคมุขปาฐะ ยุคคัมภีร์ใบลาน หนังสือ วิทยุ โทรทัศน์ และในปัจจุบันยังมีสื่อที่นิยมกันมากในคณะสงฆ์ไทย คือ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางอินเทอร์เน็ต
5. ยุคการสื่อสารโดยโทรคมนาคมและดิจิตอลการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางอินเตอร์เน็ต
ในปัจจุบันโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคสังคม ข้อมูลข่าวสารอย่างแท้จริง ทำให้วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ส่งผลให้การดำเนินทางธุรกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงไปด้วย เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่คู่กับสารสนเทศ ตราบใดที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้า ก็จะก่อให้เกิดสารสนเทศที่ทันสมัยไปด้วย (สานิตย์ กายาผาด, เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต, กรุงเทพมหานคร : เธิร์ดเวฟ เอ็ดดูเคชั่น, 2542, หน้า 110)
ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ทำให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่อการดำชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยี ได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทำให้การสร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐาน สามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีทำให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมากมีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก การเดินทางเชื่อมโยงถึงกันทำให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟังข่าวสารกันได้ตลอด เวลา
พัฒนาการของเทคโนโลยีทำให้ชีวิตความเป็น อยู่เปลี่ยนไปมากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้ เมื่อประมาณ 500 ถึง 800 ปีที่แล้ว เทคโนโลยีเริ่มเข้ามาช่วยในการพิมพ์ ทำให้การสื่อสารด้วยข้อความและภาษาเพิ่มขึ้นมาก เทคโนโลยีพัฒนามาจนถึงการสื่อสารกัน โดยส่งข้อความเป็นเสียงทางสายโทรศัพท์ได้ประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว และเมื่อประมาณห้าสิบปีที่แล้ว ก็มีการส่งภาพโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ทำให้มีการใช้สารสนเทศในรูปแบบข่าวสาร มากขึ้น ในปัจจุบันมีสถานที่วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ แ ละสื่อต่าง ๆ ที่ใช้ในการกระจายข่าวสาร มีการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพื่อรายงานเหตุการณ์สด เห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก บทบาทของการพัฒนาเทคโนโลยีรวดเร็วขึ้นเมื่อมีการพัฒนาอุปกรณ์ทางด้าน คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ จะเห็นได้ว่า ในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมาจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เข้าไปเกี่ยว ข้องให้เห็นอยู่ตลอดเวลา
ระบบสื่อสารโทรคมนาคม และคอมพิวเตอร์ก้าวหน้ามาก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคสังคมสารสนเทศ ชีวิตความเป็นอยู่เกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสารจำนวนมาก การสื่อสารโทรคมนาคมกระจายทั่วถึง ทำให้ข่าวสารแพร่กระจ่ายไปอย่างรวดเร็ว สังคมในปัจจุบันเป็นสังคมไร้พรมแดนเพราะเรื่องราวของประเทศหนึ่งสามารถ กระจายแพร่ออกไปยังประเทศต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว